ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงในวันพุธ (9 เม.ย.) โดยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ขนาดใหญ่ฉุดตลาดลง ขณะที่นักลงทุนยังจับตาสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 7,679.48 จุด ลดลง 231.05 จุด หรือ -2.92%
ความหวังเรื่องการผ่อนปรนมาตรการภาษีระหว่างสองชาติมหาอำนาจลดลง หลังจากจีนประกาศเก็บภาษี 84% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ จากเดิม 34% เพื่อตอบโต้การเก็บภาษี 104% ของสหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลตั้งแต่วันพฤหัสบดีนี้
หุ้นกลุ่มเภสัชกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพร่วงลง 6.1% หนักที่สุดในบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมด สอดคล้องกับหุ้นในยุโรปและสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ระบุว่าเตรียมประกาศเก็บภาษีครั้งใหญ่กับยานำเข้า
หุ้นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) และหุ้นจีเอสเค (GSK) ปรับตัวแย่ที่สุดในดัชนี FTSE 100 โดยร่วงลง 6.8% และ 5.7% ตามลำดับ
มาตรการภาษีของทรัมป์ยังกระตุ้นให้ประเทศอื่น ๆ อย่างแคนาดาและสหภาพยุโรป (EU) ตอบโต้กลับ ซึ่งส่งผลให้ระบบการค้าโลกปั่นป่วน และเพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
อังกฤษเองก็เผชิญกับภาษีนำเข้า 10% โดยธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เตือนว่าความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกกำลังเพิ่มขึ้น และสหราชอาณาจักรก็เปราะบางเป็นพิเศษในฐานะประเทศเศรษฐกิจเปิดที่มีภาคการเงินขนาดใหญ่
หุ้นทุกกลุ่มอุตสาหกรรมหลักในตลาดหุ้นอังกฤษต่างปิดลบ ยกเว้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่าที่ปรับตัวขึ้นตามราคาทองคำที่ขยับขึ้นจากแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2541 ตามการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลังนักลงทุนเทขายพันธบัตรที่ถือว่าเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งมักถูกซื้อขายคล้ายกับพันธบัตรร่วงลง 2.2%, หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 4.8% ตามราคาน้ำมันที่ร่วงลงถึง 7% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี และหุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะอุตสาหกรรมร่วงลง 2.2% หลังจากราคาทองแดงดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน จากความต้องการซื้อที่ลดลง เนื่องจากจีนดำเนินมาตรการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ