นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า ในขณะที่หลายประเทศแสดงความเต็มใจที่จะเจรจากับสหรัฐเกี่ยวกับภาษีศุลกากร แต่จีนเป็นเพียงประเทศเดียวที่ยกระดับความรุนแรงทางการค้า
"เมื่อวันพุธที่แล้ว หลังจากที่ท่านประธานาธิบดีกล่าวแถลงการณ์ที่โรสการ์เดน ผมได้บอกกับประเทศอื่น ๆ ว่าอย่าได้คิดตอบโต้สหรัฐ"
"เรากำลังเจรจากับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเวียดนาม ขณะที่มีอีกราว 70 ประเทศที่แสดงความต้องการที่จะพูดคุยกับเรา"
"แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย จีน ซึ่งเป็นประเทศที่ละเมิดกฎการค้ามากที่สุดในโลก กลับเป็นประเทศเดียวที่ยกระดับความรุนแรงทางการค้า"
"รูปแบบเศรษฐกิจของจีนยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยพวกเขาทำการผลิตต่อไปเรื่อย ๆ และเทขายทุ่มตลาดอย่างต่อเนื่อง" นายเบสเซนต์กล่าว
นอกจากนี้ นายเบสเซนต์ยังแสดงความผิดหวังต่อการที่จีนเพิ่มการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ สู่ระดับ 84% ในวันนี้
"ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่จีนไม่ต้องการเข้ามาเจรจากับเรา เพราะพวกเขาเป็นผู้กระทำความผิดที่เลวร้ายที่สุดในระบบการค้าระหว่างประเทศ"
"พวกเขามีระบบเศรษฐกิจที่ไร้สมดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกสมัยใหม่ และผมขอบอกพวกคุณว่าความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นนี้จะทำให้พวกเขาเป็นฝ่ายที่เสียหาย" นายเบสเซนต์กล่าวต่อสำนักข่าว Fox
สำนักงานคณะกรรมการภาษีศุลกากรของสภาแห่งรัฐจีน ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐ สู่ระดับ 84% จากเดิมที่ระดับ 34% โดยมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีที่ 10 เม.ย.
จีนดำเนินการดังกล่าว เพื่อตอบโต้ต่อการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าที่นำเข้าจากจีนสูงถึง 104% ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันนี้
ความรุนแรงจากการดำเนินมาตรการตอบโต้ทางภาษีระหว่างจีนและสหรัฐ ซึ่งเป็น 2 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก มีแนวโน้มที่จะส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศทั้ง 2 ประสบภาวะชะงักงัน
ข้อมูลจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ระบุว่า สหรัฐส่งออกสินค้ามูลค่า 1.435 แสนล้านดอลลาร์ไปยังจีนในปี 2567 ขณะที่นำเข้าจากจีนคิดเป็นมูลค่า 4.389 แสนล้านดอลลาร์